Thursday, July 30, 2009

Review : WD My Passport Studio


ไปสอยมาได้สองเดือนแล้วครับ เป็นความจุ 320GB

ที่เป็นตัวนี้ ไม่ใช่ว่ามีมีป้ายระบุว่า for Mac ครับ แต่เป็นเพราะว่ารุ่นอื่นมีแต่ USB 2.0 เท่านั้น (ราคาถูกกว่าด้วยนะ) ที่ต้องการคือ FireWire ครับ จึงได้ตัดสินใจซื้อมาใช้งานครับ


ที่ตัวกล่องระบุว่ามี FireWire 800 และ FireWire400 บวกกับ USB 2.0 อีก 1 port แต่เมื่อแกะกล่องแล้วมันเป็นแบบนี้ครับ


มีแค่ FireWire800 1 port และ USB 2.0 1 port เท่านั้น อ้าว.. ไหนว่ามี FireWire400 ด้วยไง???

โดน WD อำครับ เต็มๆ

แต่ว่าไม่เป็นไร ทาง WD ให้ FireWire800-to-FireWire400 มาให้ด้วย จะได้เอาไปใช้งานกับเครื่องที่มีแค่ FireWire400 อย่างเดียวได้ เป็น cable สีดำสั้นๆ (รวมกับ USB และ FireWire800 แล้ว ก็เป็น 3 เส้น)

ที่เค้าบอกว่า for Mac นี่ไม่อำครับ for Mac จริงๆ เค้า Format มาเป็น HFS+ เลย (ไม่ทันสังเกตว่าเป็น Apple Partition Map หรือ GUID เพราะ format เพื่อเพิ่ม partition ไปแล้ว) พอเสียบปุ๊ป เครื่อง Mac (10.5.x) จะถามเลยว่าจะใช้เป็นเครื่องย้อนเวลาหรือเปล่า (ก็ TimeMachine นั่นแหละครับ พูดให้เท่ๆ ไปงั้น) แต่ผมก็ตอบปฏิเสธไปแบบเบาๆ แล้วกด Cancel ไป (หรืออาจจะ decide later นี่แหละ) เพราะว่าต้องมาแบ่ง partiton ก่อน

ตัว WD My Passport Studio เค้ามี Driver มาให้ด้วย (ไม่มีก็ใช้งานได้ปกติ) ถ้าไม่ลง Driver เวลาเสียบกับเครื่องก็จะเป็น Generic Icon ครับ แต่ถ้าลง Driver ไปก็จะเป็น Icon ของทาง WD เค้า และมี icon ที่ Menu Bar ด้วยในยามที่เราเสียบที่เครื่อง... (ถอดออกมันก็หายไปเอง...)

ต่อมาไม่นาน... สาย Cable มันสั้นเกินไปนิดนึง ใช้งานแบบอยู่ห่างกันไม่ได้ชอบสนิทชิดเชื้อกันเกินเหตุ เลยไปหา Cable มาใช้แทนของเดิม ก็ไปได้ Cable ของ Lacie มาเสริมบารมีให้พี่เค้าครับ เอามาทั้ง FireWire800-FireWire800 และ FireWire800-FireWire400 กันเลยเชียว สีส้มแบบนี้ครับ สายแบนยาวพอที่จะย้ายไปมาได้โดยสะดวก

อนึ่ง USB cable ของ Lacie ก็มีครับ แต่ว่าคงไม่ได้ใช้งาน USB เสียเท่าไหร่นัก (หยอดกาวอุดซะดีมั๊ยนี่..)



เรื่องการใช้งานก็ OK ครับ อาจจะไม่เร็วเท่า 3.5" HD แต่สะดวกพกพาไปไหนต่อไหนสบายๆ น้ำหนักไม่มาก

เวลา copy files ก็มี LED indicator ด้านซ้ายบอกครับ วิ่งจากซ้ายไปขวาสีเขียว

ข้อเสียที่พบเจอก็คือใช้ทำ TimeMachine ไม่เคยสำเร็จครับ วัยรุ่นอาจจะเซ็ง แต่ไม่เป็นไร เดี๋ยวหา 3.5" External HD มาทำแทนก็ได้


Canon : Memory Card Utility

ในเครื่องผมจะมี Digital Photo Professional ของ Canon และ Nikon View NX ไว้ เพราะมี RAW ของสองสายพันธุ์นี้ใช้งานอยู่ (Canon ของคนอื่นครับ ผมไม่มีใช้ และไม่เคยคิดจะมีไว้ด้วย..)

โดยปกติผมมักจะ Download ไฟล์ภาพต่างๆ ลงในเครื่องเอง ไม่เคยใช้ utilty มาช่วย ถ้าเสียบ SD Card ของ Nikon เข้าเครื่อง เจ้า MCU ของ Canon นี้ (install มาพร้อมกับชุด utility ของ Canon) จะไม่ทำงาน นับว่าแปลกดีไม่ใช่น้อย แต่ถ้าเสียบ Compact Flash ละก็พี่เค้าจะทำงานในขึ้นมาบัดดลครับ

ถ้าเป็นวันอื่นๆ ผมก็สั่ง Quit ไปเลยโดยไม่ต้องเหลียวแลกัน เพราะ CF card ตัวนี้เป็นของกล้อง Nikon Coolpix 4500 (หรือชื่อย่อ E4500) แต่บังเอิญว่าวันนี้ดันสังเกตที่ตัว main window ที่มันโผล่ออกมาเองของมันครับ มันแสดงผลของภาพที่อยู่ใน card มาแสดงผลใน graphic ของ window ด้วย

โอ..ไม่น่าเชื่อ กิ๊บเก๋มากๆ...

แบบนี้เลย...

Monday, July 27, 2009

มาแล้ว Hood สำหรับ Nikkor 50mm 1.8 D

ไปถอย Hood สำหรับเสริมหล่อให้ Nikkor 50mm 1.8 D เสียหน่อย ไหนๆ ก็ไปแถวๆ MBK, Central World แล้ว ก็อย่าให้เสียเที่ยว...


Nikkor 50mm 1:1.8D

โฉมหน้ากล่องของ Nikkor 50mm 1.8 D ตัวที่ว่านี้ราคาไม่แพง น้ำหนักเบา แบกหามไปไหนสบายตัวดีกว่า Lens Kit 18-135mm โขอยู่...


Nikkor 50mm ตัวนี้เค้ามีวงแหวนปรับ Focus ด้านนอก เวลาใช้ AF มันก็จะหมุนไปมา อยากบอกว่ามันแรงเอาการอยู่ เคยเผลอจับ Lens แล้วมันหมุน auto focusแล้วมันสบัดมือเราไปเลย แทบหลุดจากมือ...


มาถึงหน้าตาของ Hood ตัวที่ว่านี้ ยี่ห้อ JJC ราคาก็ประมาณ 350 บาท เป็นเกลียวเหมือนกับ Filter ทั่วไป ประกอบด้วยวงแหวนสำหรับ mount กับ Lens 1 ชิ้น และตัว Hood 1 ตัว


ลืมบอกไปว่าได้มาจากร้าน Fotofile ชั้น 1 MBK


วิธีใส่ก็หมุนติดวงแหวนเข้ากับหน้าเลนส์ก่อน แล้วค่อยใส่ Hood ตามไป หน้าตาเป็นก็แบบนี้


Nikon D80

Nikon D80

ที่เห็นใส่ Hood อยู่นี่ยังไม่แน่ใจเลยว่าใส่ถูกหรือเปล่า ก็เค้าไม่มีคู่มือมาให้เลย พนักงานขายที่้รานจะลองใส่ให้ก็ดันบอกว่าคงไม่ยาก ใส่เองก็น่าจะมีปัญหา.. อิอิ..

Sunday, July 19, 2009

Mac แฮงค์ ทำไงดี?

ใครบอกว่า Mac ไม่แฮงค์ ผมป่าวนะ ก็โดยปกติมันก็ไม่ค่อยเจอหรอก แต่นานๆ ก็จะเป็นบ้าง ยิ่งอาการนิ่งสนิททำอะไรไม่ได้นี่แย่เลย หนทางในการให้พ้นจากค้างๆ นี่ไป ส่วนใหญ่ถ้าสั่ง Force Quit ไม่ได้ ก็ต้องใช้ไม้ตายคือ กดปุ่ม power ค้างไว้ 3-5 วินาที เครื่องจะดับไป เราถึงจะ startup ใหม่มาใช้งานกัน

ส่วนตัวผมเองก็ใช้วิธีนี้เหมือนกัน แต่ว่าไม่บ่อยนัก เพราะผมมีวิธีอื่นที่ดีกว่า (หรือป่าว...)

ผมใช้ Remote เอาครับ ไม่ใช่กด remote control แบบ TV หรือวิทยุนะ คนละอย่างกัน

แต่ไม่ใช่ว่าอยู่ดีๆ ก็ remote กันได้ดื้อๆ นะครับ ต้องมีการ setup กันก่อน

อันดับแรกก็ต้องไปตั้ง Sharing ใน System Preferences ก่อน โดยเปิด Remote Login ให้ on เท่านั้นเอง เกือบลืมไปว่าเครื่องต้องอยู่บน LAN ด้วย เพราะเราต้องมีเครื่องอื่นใน LAN มา remote อีกที

ต่อมาก็ต้องรู้ IP address ของเครื่องด้วย ไม่งั้นจบข่าว...

วิธีก็ทำแบบนี้ครับ ถ้ามีเครื่อง Mac ตัวอื่นใน LAN ก็เปิด Terminal แล้วพิมพ์คำสั่ง ssh (SecureSHell) เพื่อ login เข้าเครื่องนั้นไปเพื่อสั่งให้ restart

พิมพ์คำสั่ง ssh
ตามด้วย username@ip_address

เช่น ssh loogpla@192.168.1.34
แล้วกด enter

แล้วก็มีคำถาม ก็ตอบ yes ไป (ยังไม่เคยตอบ no)

ทีนี้ก็ต้องใส่ password ของ user ที่เราใส่ไปตอนแรก
หลังจากนั้นเราก็ login เข้ามาเรียบร้อยแล้ว

ถึงตอนนี้ก็สั่งให้เครื่อง restart ได้แล้ว
แต่เดี๋ยวก่อน... การจะสั่งให้เครื่อง restart ต้องแปลงร่างเป็น root เท่านั้น

ฉะนั้นต้องสั่ง sudo ด้วย พร้อมกับ password ของ admin ถ้าไม่มีก็ควรจะมีไว้ เผื่อไม่ใครใช้งานเคร่ื่องเราแบบปล่อย password ว่างๆ ไว้

พิมพ์ตามนี้เลย

sudo reboot

แล้วกด enter แล้วต้องใส่ password ของ admin ตามไป แล้วเครื่อง Mac ก็จะ restart เองในบัดดล...
(ถ้าไม่ restart ก็คงต้องกดปุ่ม power เอา...)

ตัวอย่างข้างล่าง ผมใช้ iPod touch สั่งจาก Wireless Network